ฝึกสมองให้เก่งขึ้นได้: เอาชนะจุดอ่อนทางการเรียนด้วย 5 วิธีนี้
ไม่ว่าคุณจะอยู่ชั้นปีไหน การรู้ว่าตัวเองจะไปถึงจุดไหนเมื่อสิ้นสุดปีการศึกษาเป็นสิ่งสำคัญเสมอ การสอบจำลองและการสอบปลายปีเป็นเครื่องมือชั้นดีที่ช่วยให้เรามองเห็นภาพรวมของการพัฒนาตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านที่เรายังทำได้ไม่ดีและต้องการความพยายามเป็นพิเศษ โดยบทความนี้จะบอกถึง “วิธีพัฒนาจุดอ่อนทางการเรียน”
ปกติแล้วสมองของเรามักจะชอบทบทวนแต่สิ่งที่ตัวเองถนัด โดยเฉพาะช่วงเตรียมสอบ เพราะมีกลไกทางความคิดและระบบให้รางวัลบางอย่างเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้นและเราจะเอาชนะมันได้อย่างไร เพื่อพัฒนาจุดอ่อนของตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
ทำไมเราถึงชอบทบทวนแต่จุดแข็ง?
ความสบายใจทางจิตใจและ “ภาวะลื่นไหล” (Flow State): สมองของเราจะรู้สึกชอบและอยากทำสิ่งที่ทำให้ตัวเองรู้สึกมั่นใจและทำได้ดี เพราะมันจะหลั่งสารโดปามีน (สารแห่งความสุขและรางวัล) ออกมา ทำให้การอ่านหนังสือรู้สึกง่ายและน่าพอใจ
หลีกเลี่ยงความไม่สบายใจ: ในทางกลับกัน การต้องมาเผชิญหน้ากับจุดอ่อนจะสร้างความไม่สบายใจที่เรียกว่า Cognitive Dissonance หรือภาวะที่ความคิด ความเชื่อ หรือการกระทำของเราไม่สอดคล้องกัน ทำให้สมองพยายามหลีกเลี่ยงเพื่อลดความเครียด
ภาพลวงตาของความสามารถ (Illusion of Competence): การทบทวนแต่จุดที่ตัวเองถนัดทำให้เรารู้สึกว่า “ฉันทำได้!” ซึ่งหลอกให้คิดว่าตัวเองกำลังมีประสิทธิภาพ แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไม่ได้เติมเต็มช่องว่างทางความรู้เลย
5 วิธีฝึกสมองให้เอาชนะจุดอ่อน
1. ระบุจุดอ่อนและช่องว่างทางความรู้ผ่านการทดสอบตัวเอง
ลองทำแบบทดสอบหรือข้อสอบเก่าโดยไม่อ่านโน้ต จากนั้นใช้เฉลยวิเคราะห์ข้อผิดพลาดและจดบันทึกไว้ใน “รายการข้อผิดพลาด” เพื่อมองเห็นรูปแบบที่เกิดซ้ำๆ เช่น ทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ เข้าใจคำถามผิด หรือมีช่องว่างทางความรู้โดยสิ้นเชิง วิธีนี้จะช่วยให้คุณเจาะจงลงไปได้เลยว่าควรปรับปรุงตรงไหน
เทคนิคนี้จะช่วยให้เราเชี่ยวชาญในระยะยาว เพราะการที่เราต้องพยายามเอาชนะความท้าทายจะช่วยสร้างวงจรประสาท (Neural Pathways) ที่แข็งแรงขึ้นได้ การพยายามกับหัวข้อที่ยากๆ จะบังคับให้สมองสร้างการเชื่อมต่อประสาทใหม่ๆ (เหมือนการบุกเบิกเส้นทางในป่า) ยิ่งพยายามมาก เส้นทางก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น
นอกจากนี้ ทฤษฎีการประมวลผลข้อมูล (Processing Theory) ยังชี้ว่าการทำงานที่ง่าย เช่น การอ่านโน้ตซ้ำๆ จะสร้างความทรงจำระยะสั้นที่ไม่ลึกซึ้ง แต่การทำงานที่ท้าทายจะกระตุ้นการประมวลผลที่ลึกขึ้น ทำให้ความรู้ “ติดแน่น” ในสมองมากกว่า
2. ใช้ Active Recall แทนการอ่านโน้ต
ใช้วิธีที่เรียกว่า Active Recall (การบังคับตัวเองให้ดึงคำตอบจากความจำ เช่น ใช้แฟลชการ์ด) เพื่อปรับสมองให้เก็บข้อมูลระยะยาวและเปิดเผยช่องว่างทางความรู้ที่มีอยู่ เพราะเมื่อคุณบังคับตัวเองให้ดึงคำตอบจากความทรงจำแทนที่จะอ่านโน้ตเฉยๆ คุณจะเรียนรู้แบบใช้ความพยายาม ซึ่งช่วยเสริมสร้างการเชื่อมต่อของเซลล์ประสาทและทำให้ความรู้คงทนขึ้น
ความตึงเครียดทางจิตใจจาก Active Recall (เช่น การต้องพยายามจำคำตอบก่อนพลิกดูแฟลชการ์ด) ยังส่งสัญญาณให้สมองรับรู้ว่าข้อมูลนี้สำคัญ ทำให้เกิดการเข้ารหัสที่ลึกขึ้นในความทรงจำระยะยาว
นอกจากนี้ การทบทวนแบบเฉยๆ อาจทำให้เกิดภาพลวงตาว่าตัวเองเข้าใจแล้ว แต่ Active Recall จะเปิดเผยสิ่งที่คุณไม่รู้ได้อย่างชัดเจน หากคุณดึงคำตอบออกมาไม่ได้ นั่นหมายความว่าคุณได้เจอจุดอ่อนที่ต้องแก้ไขแล้ว
3. ใช้กฎ 80/20
แบ่งเวลา 80% ให้กับจุดอ่อน และอีก 20% สำหรับทบทวนจุดแข็ง เพราะการพัฒนาจุดอ่อนจะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่ากว่า เช่น การแก้ไขข้อผิดพลาดซ้ำๆ ในวิชาเคมีอาจเพิ่มคะแนนได้ถึง 5 คะแนน ในขณะที่การขัดเกลาทักษะการเขียนเรียงความที่เก่งอยู่แล้วอาจเพิ่มได้เพียง 1-2 คะแนน
หลักการนี้คล้ายกับ หลักการของพาเรโต (Pareto Principle) ที่ระบุว่า 80% ของคะแนนที่เสียไปมาจาก 20% ของเนื้อหาทั้งหมด (ซึ่งก็คือจุดอ่อนของคุณนั่นเอง)
4. จับคู่จุดอ่อนกับจุดแข็ง
เป็นวิธีที่ดีในการฝึกสมองให้มุ่งเน้นความไม่สบายใจ ลองฝึกทำโจทย์คณิตศาสตร์ที่ยากๆ ก่อนที่จะไปทบทวนหัวข้อที่คุณชอบ สมองของคุณจะยอมทนความยากลำบากได้หากรู้ว่ามีรางวัลรออยู่
อีกวิธีหนึ่งคือ Scaffold Method หรือวิธีแบบนั่งร้าน โดยการแบ่งหัวข้อที่ยากออกเป็นขั้นตอนย่อยๆ และใช้จุดแข็งของคุณเป็นตัวช่วยในแต่ละขั้นตอน ตัวอย่างเช่น คุณถนัดการวาดกราฟ แต่มีปัญหาในการตีความกราฟความเร็ว-เวลา
ลองจับคู่มันเข้าด้วยกัน: วาดกราฟ (จุดแข็ง) → ใส่ป้ายกำกับความชัน/พื้นที่ (จุดอ่อนที่อาศัยทักษะการวาดกราฟเป็นตัวช่วย)
วิธีนี้จะช่วยลดภาระทางความคิดโดยการแบ่งงานที่ยากออกเป็นส่วนๆ และช่วยให้คุณพัฒนาจุดอ่อนได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน
5. ขอความช่วยเหลือจากผู้สอนพิเศษ
บางครั้งการจะหาว่าทำไมเราถึงทำคะแนนได้ไม่ดีในบางวิชาไม่ใช่เรื่องง่าย ตัวอย่างเช่น คุณอาจจะอ่อนวิชาฟิสิกส์ทั้งที่เข้าใจเนื้อหาดีแล้ว นั่นอาจเป็นเพราะ 40% ของวิชานี้เกี่ยวข้องกับการคำนวณ ซึ่งคุณอาจต้องฝึกให้มากขึ้น ผู้สอนพิเศษ สามารถช่วยคุณระบุจุดที่ต้องเน้นและหาทางพัฒนาจุดอ่อนเหล่านั้นได้
ผู้สอนจะใช้แบบทดสอบ ข้อสอบเก่า หรือคำถามที่ตรงจุดเพื่อระบุช่องว่างที่แท้จริง (เช่น “คุณไม่ได้ ‘ไม่เก่งคณิตศาสตร์’ แต่คุณมีปัญหากับเศษส่วนพีชคณิตโดยเฉพาะ”) พวกเขายังสามารถวิเคราะห์ข้อผิดพลาดเพื่อหาแบบแผนได้ (เช่น “คุณมักจะลืมแปลงหน่วยในวิชาฟิสิกส์ ซึ่งทำให้คุณเสียคะแนนไปถึง 15%”)
นอกจากนี้ ผู้สอนยังสามารถชี้แนะวิธีพัฒนาจุดอ่อนทางการเรียน แนะนำกลยุทธ์เฉพาะทางในแต่ละวิชาที่คุณอาจไม่สามารถค้นพบได้ด้วยตัวเอง เช่น:
สำหรับจุดอ่อนวิชาคณิตศาสตร์: จดตัวแปรที่ทราบทั้งหมดก่อนที่จะเริ่มแก้ปัญหาเสมอ
สำหรับจุดอ่อนวิชาภาษา: ใช้วิธี Chunking หรือการจดจำกลุ่มคำแทนที่จะเป็นคำศัพท์ทีละคำ
สำหรับจุดอ่อนในการเขียนเรียงความ: ลอง Reverse-Outline หรือการสร้างโครงร่างย้อนหลังจากเรียงความฉบับร่างที่เขียนเสร็จแล้วเพื่อตรวจสอบตรรกะ การไหล และโครงสร้างของเนื้อหา
ทำไมต้องเลือก ครูสอนพิเศษ – Brightly Prep
ผมเข้าใจความกังวลของผู้ปกครอง และพร้อมมอบการเรียนการสอนที่มีคุณภาพเพื่อช่วยให้นักเรียนเติบโตและประสบความสำเร็จในด้านวิชาการ ผมเชื่อว่าการเรียนพิเศษที่ดีที่สุดคือการให้ความสำคัญกับความต้องการของนักเรียนแต่ละคน และสร้างความมั่นใจในการเรียนรู้
ผมเชี่ยวชาญการสอน IGCSE ในวิชา Mathematics, Physics และ Chemistry ด้วยประสบการณ์มากกว่า 6 ปี ในการช่วยนักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติให้ก้าวสู่ความสำเร็จ
นักเรียนสามารถเลือกเรียนได้ทั้งแบบ on-site ในพื้นที่พัทยา หรือ เรียนออนไลน์แบบตัวต่อตัว เพื่อความยืดหยุ่นและสะดวกที่สุดสำหรับคุณ
Search
Popular posts
